ศาลผีสิง

ศาลผีสิง

ศาลผีสิง

“เตย” เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากศาลอสุรกาย

ดิฉันเคยฟังพวกผู้เฒ่าผู้แก่เล่าเรื่องผี คุยกันเรื่องภูตผีปีศาจมาตั้งแต่ยังเด็ก ๆ แล้วค่ะ นอกจากความน่ากลัวแล้วยังได้ความรู้ว่า ภูตผีปีศาจก็เหมือนผู้คนทั่วไปอยู่อย่างหนึ่ง…คือมีทั้งดีและชั่วปะปนกัน

โดยเฉพาะพวกสัมภเวสี – ผีเร่ร่อน หรือวิญญาณที่แสวงแดนเกิด นอกจากจะหิวโหย ร้องขอส่วนบุญจากญาติมิตรบ้าง จากผู้อื่นบ้าง บางครั้งก็ถือโอกาสสวมรอยแทนผู้อื่นอย่างหน้าตาเฉย

ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือพระภูมิเจ้าที่นั่นแหละค่ะ!

เมื่อมีการตั้งศาลพระภูมิประจำบ้าน หรือบริษัทห้างร้านก็ตาม จะมีผู้รู้ทางไสยศาสตร์มาทำพิธีตั้งศาล เซ่นสรวงด้วยเครื่องบัตรพลี เพื่อให้วิญญาณชั้นสูงเช่น เจ้าที่เจ้าทาง เทพารักษ์ มาสิงสู่ แต่บังเอิญมีวิญญาณร้ายผ่านมาพอดี ถือโอกาสสวมรอยเข้าไปกินเครื่องเซ่นจนอิ่มหนำสำราญ แล้วยึดเอาศาลนั้นเป็นที่อยู่อย่างหน้าตาเฉย

วิญญาณชั้นดีหมดโอกาส เพราะมาถึงต่อเมื่อสายเกินไปเสียแล้ว!

เมื่อภูตพเนจรเข้าสิงสู่ศาลเรียบร้อย ในระยะ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร เนื่องจากมีที่อยู่ที่กินแสนผาสุก มีคนนำเครื่องเซ่นมาให้กินทุกวัน ไม่ต้องร่อนเร่หากินตามแบบ “ผีไม่มีศาล” เหมือนครั้งก่อนอีกต่อไป

แต่คนชั่วหรือวิญญาณร้ายมีอุปนิสัยคล้ายๆ กัน คือชอบกลั่นแกล้ง รังแกให้ผู้อื่นเดือดร้อน แม้ว่าผู้นั้นจะมีบุญคุณ ให้ที่อยู่ที่กินก็ไม่ละเว้น

ท่านผู้ใหญ่ที่เล่าเรื่องนี้ให้ข้อสังเกตว่า ถ้าบ้านเรือนใดมีศาลพระภูมิเจ้าที่กระทำพิธีเซ่นสรวงอย่างถูกต้อง ผู้คนในบ้านเรือนนั้น ๆ มีแต่ความสุขความเจริญ แสดงว่ามีวิญญาณระดับดีมาสิงสู่ คอยคุ้มครอง ปกป้องดูแลบ้านช่องและผู้คนให้อยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย รวมทั้งไม่มีการทะเลาะวิวาทกันด้วย…

ส่วนจะมากน้อยก็ถือว่าตามอัตภาพ

ตรงกันข้าม ถ้าบ้านเรือนใดตั้งศาลพระภูมิแล้ว มิช้ามินานก็เกิดความเดือดร้อน วุ่นวาย มีปัญหาต่างๆ นานาน่าปวดหัวเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ขนาดถึงกับคนในบ้านบาดเจ็บก็มี ล้มตายก็มี…ขอให้ตั้งข้อสังเกตที่ศาลพระภูมิก่อนอื่น!

แม้ว่าโชคเคราะห์ย่อมเกิดกับมนุษย์โดยกะทันหัน ไม่มีใครบอกได้ว่าเมื่อใดจะมีโชคดี – เคราะห์ร้าย อุบัติขึ้นก็ตาม แต่ถ้าเกิดขึ้นอย่างร้ายแรงและติดๆ กันแล้วก็ให้สันนิษฐานว่า อาจจะเนื่องมาจากศาลพระภูมิก็ได้…

นั่นคือ โดนวิญญาณร้ายที่สิงสู่อยู่เนรคุณ หรือไม่ก็กลั่นแกล้งเอาด้วยความเกเรเกตุงตามนิสัยเดิม!

เมื่อแรกดิฉันก็ยอมรับว่าเชื่อครึ่ง – ไม่เชื่อครึ่ง จนกระทั่งได้ประสบกับเรื่องขนหัวลุกด้วยตัวเองที่ชุมชนแห่งหนึ่งในย่านสะพานควายเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว

บ้านเรือนละแวกนั้นค่อนข้างแออัดยัดเยียด ผู้คนส่วนใหญ่มีอาชีพค้าขาย ทั้งในตลาดบ้าง หาบเร่แผง ลอยบ้าง รวมทั้งช่างไม้ช่างปูนไปถึงเอาแรงงานเข้าแลก ส่วนหนึ่งเป็นพนักงานบริษัทและรัฐวิสาหกิจ

มีครอบครัวใหม่มาเช่าบ้านอยู่ชื่อพี่สันต์กับพี่เพ็ญ มีลูกชายหญิงสองคนกำลังเข้าวัยรุ่นทั้งคู่…เรื่อง แปลกๆ เกิดขึ้นตั้งแต่เขาตั้งศาลพระภูมิแล้วค่ะ

ไม่ใช่ว่าศาลเก่าไม่มีนะคะ แต่ผุพังจนล้มเค้เก้ไปนานแล้ว คนเช่ารายก่อนๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่รายนี้ไปซื้อศาลสวยๆ คล้ายโบสถ์จำลองจากสวนจตุจักรมาพร้อมกับคนทำพิธีตั้งศาล เขามีหัวหมู เหล้า มะพร้าวอ่อน กล้วยหอม ส้ม และขนมนมเนยกับดอกไม้สวยๆ จุดธูปเทียนเซ่นไหว้ มีเด็กๆ มุงดูหลายคน

จู่ๆ ฟ้าก็มืดครึ้มรวดเร็ว ลมพัดอู้ๆ ฟังเหมือนเสียงใครกำลังหัวเราะอย่างเบิกบานใจ จนหลายๆ คนขนลุกขนพองไปตามๆ กัน!

หลังจากนั้นไม่นาน ครอบครัวนี้ก็ประสบแต่ความเดือดเนื้อร้อนใจสารพัด

ตั้งแต่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันตลอด ลูกชายติดยา ลูกสาวกลายเป็นเด็กใจแตก ลงท้ายด้วยการโดนข่มขืนฆ่า พ่อหันเข้าหาเหล้า เมาหัวราน้ำจนถูกไล่ออกจากงาน แม่ก็บ่นบ้านัยน์ตาขุ่นขวางเหมือนคนวิกลจริต

วันสุดท้าย เกิดไฟไหม้บ้านตอนดึก….

เพลิงนรกลุกลามจนบ้านช่องแถวนั้นวอดวายไปหลายหลัง บ้านต้นเพลิงตายหมดค่ะ…ตอนที่ขนของหนีไฟอลหม่าน เราได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันมาเข้าหู…ดังมาจากศาลพระภูมิที่มีไฟลุกท่วมน่ะซีคะ!

ขอขอบคุณ khaosod.co.th