ปูเป้ อรหทัย ทิ้งวงการทุ่มเวลาดูแลพ่อยามดวงตามืดบอด
กลายเป็นประเด็นทอล์คออฟเดอะทาวน์แบบข้ามคืนหลังจากที่ ได้นำเสนอมุมชีวิตของดาราสาวสวย “ปูเป้ อรหทัย” ในบทบาทการเป็นลูกที่คอยดูแลคุณพ่อตัวเองหลังป่วยด้วยหลายโรครุมเร้าจนล่าสุดถึงขั้นดวงตาข้างซ้ายมืดบอดแล้วนั้นเธอได้โพสต์บอกว่า “พ่อมองไม่เห็นแล้ว ปูเป้เป็นตาให้นะ” จากนั้นก็มีเสียงชื่นชมว่าเธอนั้นช่างเป็นตัวอย่างคนบันเทิงที่ดีพร้อมกับช่วยกันแชร์ข่าวของเธอกันออกไปอย่างสะพัด
ล่าสุดก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับเรื่องราวชีวิตของเธอที่ระยะหลังๆ จะไม่ค่อยได้เห็นหน้าค่าตาของเธอเท่าไหร่เพราะเธอเลือกที่จะถอยออกจากวงการไปทำหน้าที่ปรนบัติคุณพ่อตัวเองใบฐานะที่เป็นลูกให้ดีที่สุดและนี่จะเป็นการเปิดใจสาว “ปูเป้” ที่แรกและครั้งแรกที่หากได้ติดตามแล้วคุณจะลืมภาพลักษณ์สาวเซ็กซี่ของเธออย่างแน่นอน
ขอบคุณทุกกำลังใจที่ต่อชีวิตพ่อ
หลังจากที่มีการนำเสนอข่าวของเธอออกไปแล้วนั้นเธอบอกว่าทุกคอมเม้นท์ที่ทุกคนส่งมาให้กำลังในนั้นเธอได้เห็นอ่านแล้วรู้สีกตื้นตันและทำให้เธอรู้สึกมีกำลังใจและไม่ได้เหมือนมีกันแค่ครอบครัวของเราเท่านั้นแล้ว แต่ยังมีคนภายนอกที่ยังเป็นกำลังใจให้ครอบครัวเราอีกด้วย
“ตอนปูเป้ได้อ่านข่าวแล้วก็รู้สึกดีใจมากๆ ค่ะว่ามีคนให้กำลังใจเราเยอะก็ต้องขอบคุณทางเว็บสนุกด้วยที่นำเสนอข่าวดีๆ ก็ทำให้มีกำลังใจมากขึ้นและก็ได้อ่านให้คุณพ่อฟังนะ เขาก็น้ำตาคลอเลยเพราะว่าเหล่าลูกศิษย์ของเขาคุณพ่อเป็นครูก็จะมีลูกศิษย์เขามาคอมเม้นท์กันในข่าวว่าคิดถึงอาจารย์ ปูเป้ก็เลยรู้สึกว่าคอมเม้นท์เหล่านี้เหมือนยืดอายุพ่อปูเป้ไปได้อีก เพราะทุกวันนี้เขาป่วยเยอะมากแล้วค่ะ อย่างโรคเบาหวานเขาเป็นขั้นสุดท้าย และต้องฟอกไตคือวันเว้นวัน ทุกอย่างที่เขาเป็นคือขั้นสุดท้ายแล้ว เพราะฉะนั้นคอมเม้นท์เหล่านี้มันเหมือนมาต่อชีวิตเขาเขารู้สึกว่าเขาไม่ได้มีแค่ครอบครัวเรา เพราะยังมีคนอื่นๆ ที่นึกถึงเขาอยู่เขารู้สึกว่าตัวเองสำคัญขึ้นมาปูเป้ก็ต้องขอบคุณทุกคอมเม้นท์เลย ขอบคุณมากๆ เหมือนช่วยชีวิตคนแก่คนนึง มันได้เกิดการเปลี่ยนแปลงคือเราก็มีความสุขตามอัตภาพของเราอยู่แล้วแต่พอมีคนอื่นๆ เข้ามามันก็เลยรู้สึกว่าคุณพ่อมีใครคอยเชียร์อยู่คนแก่เขาก็แฮปปี้ค่ะ”
จากนั้นสาวปูเป้ก็เผยต่อถึงอาการป่วยของคุณพ่อที่ตอนนี้ค่อนข้างถือว่าหนักพอสมควรและมีหลายโรครุมเร้า แต่ในส่วนดวงตาที่มือดบอดและเป็นข่าวนั้นเป็นผลจากโรคเบาหวานระยะสุดท้ายและคุณพ่อก็ได้สู้กับโรคต่างๆ เหล่านี้มากว่า 11 ปี แม้ตัวเองในฐานะลูกจะรู้แก่ใจว่าไม่มีทางหายและก็ทำใจมาซักระยะจึงเลือกใช้เวลาทั้งหมดหลังจากนี้ขอดูแลคุณพ่อตัวเองในทุกๆ วันให้ดีที่สุด
“เริ่มต้นอาการป่วยของคุณพ่อเริ่มเมื่อ 11 ปีที่แล้วค่ะ แต่มันเริ่มจากเส้นเลือดอุดตันในสมองก็เลยเป็นอัมพฤต พอเป็นอัมพฤตก็เป็นโรคอื่นๆ แทรกซ้อนเข้ามาก็คือเป็นโรคเบาหวานเสร็จแล้วจะเป็นโรคไตตามมาซึ่งโรคพวกนี้มันจะเกี่ยวเนื่องกันหมด ส่วนเบาหวานก็จะเป็นไปในระยะที่ขึ้นไปที่ตาระยะเกือบสุดท้ายของเบาหวานแล้วค่ะ ก็รักษากันมาสามสี่รอบพอมองเห็นขึ้นมาก็กลับมาเป็นอีกจนตอนนี้มันเป็นเบาหวานระยะสุดท้ายที่ต้องฉีดอินซูลทุกวันหมอก็เลยไม่ทำตาให้แล้ว ข้างขวานี่คือไม่เห็นแล้ว แต่ข้าซ้ายเห็นในระยะหนึ่งฟุตลางๆ ค่อนข้างหนักแล้วถ้าให้พูดตรงๆ นะก็ทำใจกันมาซักระยะนึงแล้วก็เลยพยายามทำทุกอย่างให้มีความสุขที่สุดในครอบครัว
แต่ต้องบอกว่าเป็นความโชคดีของปูเป้ด้วยที่คุณพ่อเป็นคนเข้มแข็งเขาจะไม่ค่อยแสดงความอ่อนแอให้คนในครอบครัวเห็นเราก็เลยรู้สึกว่าเรื่องที่เราเจอพอคนที่ป่วยเขาเข้มแข็งเราก็จะเข้มแข็งไปด้วย แต่ตอนแรกๆ ที่รู้ว่าพอป่วยก็ตกใจว่าเราจะไปยังไงต่อเพราะว่าคุณพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่พอเห็นเขาเข้มแข็งมันก็กลายเป็นว่างั้นเราก็ต้องรับหน้าที่หัวหน้าครอบครัวแทนเขาในเมื่อมันเป็นแบบนี้ไปแล้วก็ต้องยอมรับให้มันเป็นไปดำเนินชีวิตต่อไปซึ่งสำหรับใครหรือครอบครัวไหนที่กำลังเจอแบบนี้ปูเป้ก็อยากให้ทุกคนเข้มแข็งนะคะและต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้เพราะปูเป้ว่าสิ่งที่มันสำคัญที่สุดก็คือความรักในครอบครัว เราจะมีมากมีน้อยไม่สำคัญเท่ากับเรามีควาารักให้กันมันก็จะผลักดันให้ทุกอย่างเป็นไปในทางที่ดีขึ้นเอง”
ปรนนิบัติร่างกายแต่จิตใจก็ไม่ควรมองข้าม
นอกเหนือจากการดูแลปรนนิบัติคุณพ่อที่กำลังป่วยด้วยหลายโรครุมเร้านั้นสาวปูเป้ยังเสริมต่อไปในเรื่องของการให้ความสำคัญในเรื่องของจิตใจซึ่งสิ่งเหล่านี้เธอก็ไม่ได้มองข้ามไปและในทุกๆ วันที่คุณพ่อยังอยู่เธอจึงเลือกทำให้คุณพ่อของเธอรู้สึกว่ามีบทบาทสำคัญกับทุกคนในครอบครัว
“ปูเป้มองว่าคนแก่เรื่องการใช้เงินสำคัญนะ ถ้าเขามีของตัวเองใช้ไปบ้างมันก็เหมือนการต่อกำลังใจเขา แต่ถ้าเขาไม่มีและเราไม่ได้ให้เงินเขาเลยเขาจะรู้สึกว่าอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์สร้างความเดือดร้อนให้ครอบครัว แต่ปูเป้จะให้อาทิตย์นึงหกพันให้เขาไปคิดเอาว่าจะทำอะไรบ้าง คือเหมือนให้งานเขาทำ ให้ซื้อกับข้าวทำให้เขารู้สึกว่าเขามีความสำคัญมีบทบาทในบ้าน เขาจะต้องเป็นคนซื้อกับข้าวเข้าบ้าน ซื้ออาหารเลี้ยงหมาคือเราจะมอบหน้าที่ให้กับเขาด้วย ที่ปูเป้ทำแบบนี้เพราะเคยอ่านหนังสือเล่มนึงว่าคนเราจะอยู่ได้ถ้ารู้สึกว่าตัวเรามีความสำคัญก็เลยมานั่งคิดว่าจะให้ความสำคัญกับเขาอย่างไรดีในเมื่อเขาเป็นแบบนี้ในเมื่อพ่อชอบทำกับข้าวงั้นก็ให้สตางค์ไปก้อนนึง พ่อๆ เป็นคนซื้อกับข้าวเขาบ้านนะเขาก็จะรู้สึกว่าเขานี่แหละเป็นครัวของบ้านตื่นเช้ามาต้องมานั่งทำกับข้างให้แม่ให้ลูกแต่ไม่ได้ทำเองหรอกนะสั่งมาค่ะ”
และนอกเหนือจากค่าใช้จ่ายในบ้านหลักๆ ที่สาวปูเป้เธอยังบอกกับเราอีกว่า “ปูเป้ต้องฉีดอินซูลินให้เขาทุกวันเพราะว่าแม่ก็แก่แล้วเขามองไม่เห็นเพราะมันต้องค่าอินซูลินนอกนั้นก็มีพาไปเที่ยว ไปกินข้าว พาไปข้างนอกที่จะเป็นหน้าที่หลักๆ แนวฝ่ายเอ็นเตอร์เทนและหาเงินเขาบ้าน จริงๆ มันก็เหมือนเราดูแลกันและกันไม่ใช่เราดูแลเขาอย่างเดียวนะเขาก็ดูแลเราด้วยเช่นกัน คือเขามองไม่เห็นแล้วเวลาไปไหนหรือถ้าเราอ่านอะไรให้เขาฟังเราต้องแบบใจเย็นมากๆ เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นตาแทนเขาเหมือนว่าเขาอ่านเองเพราะเราเป็นลูก ก็เลยโพสต์คำๆ นั้นไปแต่ก็ไม่ได้คิดว่าคนจะชื่นชมเพราะมันเป็นความรู้สึกของปูเป้จริงๆ ว่าเราจะต้องอ่านให้เขาทำหน้าที่ตาให้เขา ไม่ใช่อ่านส่งๆ ผ่านๆ ค่ะ”
ส่วนในด้านพื้นฐานครอบครัวของสาวปูเป้นั้นเธอเล่าว่าเธอเติบโตมาจากครอบครัวขนาดปานกลางและไม่ได้ร่ำรวยมีคุณพ่อเป็นครูสอนวิชาคณิตศาสตร์คุณแม่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ดังนั้นชีวิตจะอยู่ในกรอบที่พ่อแม่วางไว้โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาคือสิ่งที่โดนปลูกฝังมาเสมอ
“ปูเป้เป็นคนจังหวัดราชบุรีค่ะจะถูกเลี้ยงมาแบบลูกครูเลยทุกอย่างชีวิตจะต้องอยู่ในกรอบพ่อแม่จะเป็นคนเลือกให้ว่าจะต้องเรียนอันโน่นอันนี้ซึ่งปูเป้ก็เชื่อเขามาตลอด และพ่อแม่จะเน้นมากเรื่องการเรียนหนังสือพ่อจะพูดว่าพ่อกับแม่เนี่ยไม่มีสมบัติอะไรให้นะ เพียงแต่พยายามส่งเสียให้ลูกเรียนให้ดีที่สุดและหลังจากนั้นก็ใช้วิชาที่เรียนหาเลี้ยงตัวเองและด้วยความที่เขาเป็นครูเขาก็เลยคิดว่าตรงนี้สำคัญที่สุดแต่ช่วงวัยเด็กก็มีแอบๆ คิดว่าทำไมจะต้องเป็นแบบนี้ แต่พอโตมารู้แล้วว่าเขาเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อเรา และเราก็เป็นครอบครัวปานกลางก็ไม่ได้มีเงินทองสตางค์มากมาย
และตอนเด็กๆ ปูเป้ก็ค่อนข้างลำบากมาเยอะแต่ว่าเวลาที่เราเรียนหนังสือเนี่ย และวิชาที่ปูเป้เรียนคือกายภาพบำบัดมันก็จะต้องมีค่าเรียนต่างๆ มากกว่าคนอื่น และปูเป้ก็ขอเงินพ่อแม่มาตลอดซึ่งเขาบางทีก็ไม่มีแต่ไปหาหยิบยืมมาเพื่อให้ลูกได้จ่ายค่าเทอมให้ทันเพื่อนๆ ซึ่งเราก็รับรู้ตรงนี้มาตลอด เพราะฉะนั้นเราจะทำอย่างไรเพื่อที่จะหาเงินแล้วให้พ่อแม่สบายให้ได้มากที่สุดมันก็เลยเป็นอะไรที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าเขาลำบากมาเพราะเรา ฉะนั้นวันนี้ถ้าเขาเป็นอะไรเราก็ต้องยอมลำบากเพื่อเขาเพราะการดูแลพ่อแม่มันคือหน้าที่ๆ ต้องทำและทำแล้วเราก็มีความสุขค่ะ”
และด้วยการที่ต้องเปลี่ยนตัวเองมาเป็นหลักในการดูแลครอบครัวทั้งหมดและยอมทิ้งงานในวงการไปเราจึงเปิดประเด็นถามถึงรายได้และค่าใช้จ่ายที่หลังจากไม่ได้ทำงานในวงการบันเทิงนั้นมาจากตรงไหนเธอบอกกับเราว่า
“ตั้งแต่พ่อป่วยเราก็มานึกว่าจะทำอะไรดีเพื่อจะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากๆ ก็เลยมาเริ่มทำธุรกิจเกี่ยวกับความสวยความงามเพราะเนื่องด้วยเราเป็นดารามาก่อนการมาทำธูรกิจด้านนี้มันจะไปได้ง่ายก็เลยทำอาหารเสริมจากญี่ปุ่นเข้ามาจำหน่ายประมาณสองปีและก็มาทำครีมจากญี่ปุ่น ซึ่งก็ได้ผลตอบรับที่ดีที่เราขายเป็นคอเซ็นเตอร์ส่วนตัวของเราเอง ก็อยากจะฝากเอาไว้เป็นคอเซ็นเตอร์ 092-271-9444 ก็จะให้คำปรึกษาด้านความสวยความงาม น้ำหนัก และก็ผิวหน้าค่ะ ส่วนผลงานการแสดงยังไม่มีนะอาจจะด้วยเวลาด้วยอะไรหลายๆ อย่าง จะไปทำงานแบบโลดโผนแบบแต่ก่อนก็ไม่ได้เพราะตอนนี้สเต็ปเวลาชีวิตปูเป้มันจะค่อนข้างเป็นสเต็ปไปแล้ว เช้าดูแลครอบครัวกลางวันทำงานสี่โมงกลับบ้านชีวิตจะเป็นไปประมาณนี้เนี่ยค่ะ”
และเธอยังกล่าวทิ้งท้ายการสัมภาษณ์เปิดใจบทบาทการเป็นลูกครั้งนี้ไว้อย่างน่าคิดว่าถึง “ปูเป้อยากจะฝากไว้คำๆ นึงนะคะ ยิ่งให้ยิ่งได้และยิ่งให้คนที่มีบุญคุณกับคุณโลกนี้มันไม่ไปไหนหรอกมันก็จะวนกลับมาที่คุณนั่นแหละซึ่งตรงนี้ปูเป้ก็เจอมากลับตัวนะคือยิ่งดูแลพ่อแม่มันก็จะยิ่งแบบมีคนมาดูแลเรา เราก็จะเจอคนดีๆ มาอยู่รอบตัวเราแม้ว่าเราจะไม่ใช่เป็นคนที่เก่งมาก เป็นดาราก็ไม่ได้ดังมาก แต่ก็ยังอยู่ได้มีธุรกิจทำ ไปไหนก็มีคนที่จะช่วยเหลือเจอแต่คนดีๆ เจอคนที่คอยประคับประคองเราไป ปูเป้ก็มองว่านี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งผลที่เราได้ดูแลพ่อและแม่ของเรา และอีกสิ่งที่อยากจะบอกตรงนี้ปูเป้มองว่าสถายันครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตถ้าเกิดครอบครัวแข็งแรงเราก็สามารถออกไปดำเนินชีวิต
ได้อย่างแข็งแรงแต่เดี๋ยวนี้บางคนรักครอบครัวค่ะแต่มักคิดว่าเดี๋ยวก่อนเดี๋ยวก็ได้แต่ปูเป้จะคิดว่าให้ทำทุกๆ วันให้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้ดูแลเขา ถ้าเกิดว่าคุณรู้ว่าวันนี้เป็นวันสุด้ทายของคุณแล้วคุณจะทำอะไรสุดท้ายยังไงคุณก็ต้องกลับไปหาครอบครัวไม่มีใครรักเราเท่าพ่อและแม่และทุกวันนี้พ่อก็เป็นผู้ชายคนเดียวที่โทรหาปูเป้คนเดียว เช้า กลางวัน เย็น เป็นคนเดียวจริงๆ ปูเป้ก็จะรับทุกสายที่เขาโทรมาเพราะกลัววันนึงถ้าไม่มีเขาแล้วเราจะเสียใจที่เราไม่ได้รับโทรศัพท์เขาสถาบันครอบครัวสำคัญมากๆ นะคะ”
ขอขอบคุณข่าวจาก