บทความจากซาอุฯ ไทย คือภัยคุกคามใหม่ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2018
ทีมไทย คือ ภัยคุกคามใหม่ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกรอบสุดท้าย 2018
ตั้งแต่ปี 2007 จนจบการแข่งขันรอบคัดเลือกรอบที่ 2 ฟุตบอลโลก 2018 ทีมชาติไทยได้พัฒนาระดับไปมาก ผ่านการเปลี่ยนโค้ชมาแล้วหลายคนในช่วงเวลาดังกล่าว และสามารถเป็นแชมป์กลุ่ม F มาได้เหนือทีมชาติอิรัก และสมควรที่ผ่านเข้ามาเล่นในรอบที่ 3 เป็นอย่างมาก
ก่อนปี 2007 ทีมชาติไทยไม่ใช่ทีมที่อันตรายในเอเชีย โดยความสำเร็จเดียวที่มีคือการได้อันดับที่ 3 ในเอเชียนคัพปี 1972 ที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย ก่อนที่ในเอเชียน คัพ ที่ UAE ปี 1996 ไทยจะพ่ายแพ้อย่างย่อยยับกับทีมซาอุฯ 0-6 ตกรอบแรกโดยไม่มีแต้ม และก็มาตกรอบแรกอีกครั้งในปี 2000 ที่เลบานอน และ 2004 ที่ประเทศจีน
แต่ในปี 2007 เมื่อมีการจัดการแข่งขันร่วมกันระหว่าง ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ทีมชาติไทยก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เมื่อสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยตัดสินใจที่จะใช้เหล่าผู้เล่นหนุ่มสายเลือดใหม่อนาคตของฟุตบอลไทย นำโดยกองหน้าอย่างธีรศิลป์ แดงดา (27 ปี) ตอนนั้นเขาอายุ 19 ปีและเล่นให้กับอะคาเดมี่ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประเทศอังกฤษ ก่อนที่จะได้มาเล่นกับทีมในลีกสูงสุดของสเปนอย่างอัลเมเรีย
ถือเป็นทัวร์นาเม้นท์ที่ประสบความสำเร็จสำหรับทีมไทย โดยเสมอกับทีมอิรัก 1-1 และสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการเอาชนะโอมานได้ 2-0 ก่อนจะมาแพ้ให้กับทีมน้องใหม่ในเอเชียอย่างออสเตรเลีย 0-4 แต่ไม่ผ่านเข้ารอบ เนื่องจากผลต่างประตูได้เสียแพ้ออสเตรเลีย โดยได้ 4 คะแนนเท่ากัน
หลังจากทัวร์นาเม้นท์นี้เอง สมาคมฯตัดสินใจจ้างโค้ชชาวต่างชาติ เพื่อที่จะนำวัฒนธรรมฟุตบอลสไตล์ยุโรปมาปรับใช้กับทัศนคติของนักเตะไทย โดยมีโค้ชอย่างปีเตอร์ รีด จากอังกฤษ (59 ปี) คุมทีมช่วง 2008-09 ต่อจากนั้นก็เป็นโค้ชชาวอังกฤษ อีกคน คือ ไบรอัน ร็อบสัน (59 ปี) ปี 2009-11 ก่อนที่จะนำโค้ชชื่อดังจากเยอรมันอย่าง วินเฟรด เชเฟอร์ (66 ปี) มาฝึกสอนในช่วงปี 2011-13
ในช่วงที่เชเฟอร์โค้ชจากเยอรมันมาคุมทีมไทยนั้น ได้มีการปรับแผนกลยุทธ์การเล่น โดยการโยนบอลยาวจากกองกลางเพื่อโจมตีเร็ว เพื่อที่จะยืนยันความสำเร็จของเขากับทีมชาติไทย ผลการแข่งขันที่ไม่คาดคิดในการแข่งขันฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ปี 2014 ไทยสามารถเอาชนะโอมานได้ 3-0 และเสมอซาอุฯ 0-0 ที่กรุงเทพฯ ก่อนที่จะแพ้ให้กับออสเตรเลียเพียง 0-1 เท่านั้น แต่เขาก็ต้องจบการเดินทางโค้ชทีมชาติไทยด้วยความล้มเหลว ไม่ผ่านรอบคัดเลือกและอยู่ในอันดับที่ 4
แต่ทีมไทยก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายจากช่วงที่โค้ชชาวเยอรมันเข้ามาคุมทีม ไม่แพ้ในเกมที่เล่นในกรุงเทพฯ สิ่งนี้เองเป็นประโยชน์สำหรับทีมไทยในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ปี 2018 ภายใต้การนำของโค้ชชาวไทย เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (42 ปี) ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “ซิโก้ไทยแลนด์” โดยเขานำทีมไทยไม่แพ้ใครในกลุ่ม F โดยอยู่ในสายเดียวกับเวียดนาม ไต้หวัน และอิรัก มีคะแนนรวมทั้งหมด 14 คะแนน เป็นแชมป์กลุ่ม เหนือทีมอดีตแชมป์เอเชียปี 2007 อย่างอิรัก
การที่ทีมไทยสามารถเป็นแชมป์กลุ่ม F เบียดทีมแชมป์เอเชียปี 2007 อย่างอิรักไปได้ เป็นการปลุกทีมอื่นๆในเอเชียให้ตื่นขึ้นในรอบคัดเลือกรอบที่ 3 ที่จะเลือกที่ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก โดยโค้ชซิโก้ได้กล่าวกับบางกอกโพสต์ว่า “หลังจากที่เราได้เข้ามาเล่นรอบที่ 3 เป้าหมายของเราคือการผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกที่รัสเซียปี 2018 เราสร้างทีมนี้มาหลายปีเพื่อในบรรลุเป้าหมายนี้”
ทีมไทยเป็นหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในอาเซียน พวกเขาเป็นทีมที่ได้แชมป์อาเซียนมากที่สุด 4 ครั้ง ในปี 1996 2000 2002 และ 2014 และเป็นทีมที่ได้แชมป์ซีเกมส์มากที่สุดทั้งหมด 15 ครั้ง
ขอขอบคุณข่าวจาก