คนเรามักจะรู้ “คุณค่า” ของสิ่งที่สูญเสียไปเมื่อสิ่งนั้นไม่ได้อยู่กับเราแล้ว

เรื่องนี้เป็นสัจธรรมของชีวิตครับ เพราะผมเองก็เคยผ่านความรู้สึกเช่นนั้นมา และรู้สึกได้อีกครั้งเมื่อได้เห็นถ้อยคำของน้องชายคนหนึ่งที่รำพึงถึงสิ่งที่สูญเสียไปด้วยความอาดูร

ณ เข็มนาฬิกาเดินไป ผมเชื่อว่าแฟนบอลลิเวอร์พูล จำนวนหนึ่งเองคงคิดถึง หลุยส์ ซัวเรซ ขึ้นมาจับใจ

มากบ้างน้อยบ้าง หากมีดาวยิงฟันกระต่ายอยู่ในสนาม คงมีสิ่งที่เรียกว่า “ความหวัง” อยู่บ้าง

ไม่ใช่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้เหมือนในเกมที่แอนฟิลด์เมื่อคืนที่ผ่านมา

new

90 นาที เมื่อช่วงดึกของคืนวันเสาร์ที่ผ่านมานั้น ทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เล่นกันได้อย่างน่าผิดหวัง โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงฟอร์มในวันที่บุกไป “คั่วไก่” ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ที่ไวท์ ฮาร์ท เลน เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้วนั้น มันทำให้เกิดความรู้สึกว่าสิ่งที่เห็นวันนั้นเป็น “ภาพลวงตา”

อันที่จริงสิ่งที่เห็นในเกมกับสเปอร์สนั้นไม่ใช่ภาพลวงตาครับ นั่นคือประสิทธิภาพ และศักยภาพที่แท้จริงของลิเวอร์พูล เพียงแต่ความแตกต่างระหว่างเกมที่เดอะ เลน กับที่แอนฟิลด์ นั้นมีอยู่ 2 เรื่องด้วยกัน

ประการแรกเกมที่เดอะ เลน นั้นลิเวอร์พูล ค่อนข้างเล่นได้ตามเกมของตัวเอง บวกกับสเปอร์ส เองเปิดพื้นที่ให้เล่นค่อนข้างมาก เมื่อแนวรุก 3 ประสาน ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, แดเนียล สเตอร์ริดจ์ และ มาริโอ บาโลเตลลี่ อยู่กันครบ จิ๊กซอว์จึงลงตัว

 

ประการต่อมา สภาพทีมในวันนั้นกับเมื่อคืนที่แอนฟิลด์แตกต่างกัน แม้ไม่มากแต่สำคัญ เพราะการขาด สเตอร์ริดจ์ ทำให้ทีมไม่มีกองหน้าซึ่งสามารถ “ขู่” กองหลังได้ด้วยความเร็ว ความแพรวพราว และอีซ้ายที่ประมาทไม่ได้ เช่นกันกับ โจ อัลเลน ที่ถึงดูไม่เด่นแต่เป็นคนปิดทองหลังพระ ด้วยความขยัน พลังไดนามิค และการออกบอลที่ทำให้ทีมขับเคลื่อนได้ต่อเนื่อง

สองเรื่องนี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่ความปราชัยคาแอนฟิลด์ตั้งแต่เกมที่ 2 ของฤดูกาล

แน่นอนครับว่าต้องให้เครดิตกับ แอสตัน วิลล่า ของ พอล แลมเบิร์ต ที่ทำผลงานอย่างยอดเยี่ยมนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา พวกเขาเล่นได้ตามแผนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งรับให้เหนียวแน่นหนึบ การฉกฉวยโอกาสเท่าที่มีให้ได้ ซึ่งทำได้สำเร็จตั้งแต่ต้นเกมและทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น

และอีกสิ่งที่สำคัญคือการพยายามทำให้ลิเวอร์พูล เสียจังหวะ ต้องเล่นภายใต้ความรู้สึก “อึดอัด” ตลอดทั้งเกม

 

เซาธ์แฮมป์ตันเองก็เล่นในลักษณะนี้เมื่อเกมเปิดฤดูกาล และทำให้ลิเวอร์พูลแทบเอาตัวไม่รอด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคู่แข่ง โดยเฉพาะทีมในระดับรองลงมา “จับทาง” ได้หมดแล้วว่าหากมามุกนี้ หงส์แดงไปไม่เป็นแน่

เพราะประสิทธิภาพในเกมรุกของรองแชมป์พรีเมียร์ลีกลดลงไปจากเดิมมาก ประตูที่เคยยิงได้เป็นกอบเป็นกำนั้นแลดูเกิดขึ้นยากและพูดตามตรงว่ามันดูไม่มีความหวังเอาเสียเลย

เราอาจให้ความยุติธรรมบ้างว่า 3 ประสานแนวรุกนั้นล้วนเป็นหน้าใหม่ไม่ว่าจะเป็น มาริโอ บาโลเตลลี่, ลาซาร์ มาร์โควิช หรือ อดัม ลัลลาน่า ขณะที่ตัวสำรองอย่าง ริคกี้ แลมเบิร์ต หรือ ฟาบิโอ บอรินี่ ก็ยังปักหลักกับสโมสรใหม่ไม่ได้

ครั้นจะฝากความหวังกับเจ้าหนู ราฮีม สเตอร์ลิ่ง นักเตะที่ดีที่สุดของทีมเวลานี้ ร็อดเจอร์สก็กลัวจะช้ำเกินไปจนเก็บเข้าซุ้มม้านั่งสำรอง และต้องยอมส่งมาในช่วง 30 นาทีสุดท้าย โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว

 

จากปัญหาที่เห็น ถึงมันจะเร็วแต่ต้องบอกให้เดอะ ค็อป เผื่อใจครับว่าปีนี้ “หนัก” แน่ เพราะต่อให้ได้ สเตอร์ริดจ์ กลับมา และต่อให้นักเตะใหม่ปรับตัวได้เร็วทีมก็ยังขาด 3 สิ่งสำคัญ


ขอขอบคุณข่าวจาก