ทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า “ดวงตา” เป็นอวัยวะเล็ก ๆ ที่มีความสำคัญมากต่อชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังบอบบางและต้องการดูแลเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดวงตาของลูกน้อยอันจะเป็นหน้าต่างบานสำคัญที่จะเปิดไปสู่โลกกว้าง และพัฒนาการเรียนรู้รอบด้าน ซึ่งจากผลการวิจัยในต่างประเทศพบว่า กว่า 90 % ของข้อมูลที่เด็กได้รับรู้นั้นผ่านทางดวงตาทั้งสิ้น ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อพัฒนาการของเจ้าตัวเล็กนั่นเองเพื่อกระตุ้นให้คุณพ่อคุณแม่หันมาใส่ใจสุขภาพดวงตาของเจ้าตัวเล็ก ฝ่ายโภชนาการ บริษัท ไวเอท (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับเครือโรงพยาบาลพญาไท จัดงานเสวนา “ดวงตากับพัฒนาการเรียนรู้รอบดานของเจ้าตัวเล็ก” ขึ้นที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ วันก่อน
พญ.รัติยา พรชัยสุรีย์ จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคตาเด็ก แพทย์ที่ปรึกษาโรงพยาบาลพญาไท 2 กล่าวว่า พ่อแม่ทุกคนควรหันมาใส่ใจให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพดวงตาของเด็ก เนื่องจากดวงตาเปรียบเสมือนหน้าต่างของสมอง เพราะในเด็กเล็กนั้นพัฒนาการและทักษะต่าง ๆ ยังไม่พัฒนาเต็มที่
ดังนั้น เด็กจะรับรู้เรื่องราวผ่านการมองเห็นมากที่สุด โดยเฉพาะ 4 ปีแรก เด็กจะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องรวดเร็ว ซึ่งหากเด็กมีปัญหาการมองเห็นไม่สมบูรณ์หรือการรับภาพไม่ชัดเจน ก็อาจส่งผลต่อการประมวลผลข้อมูลที่ส่งไปยังสมองและการกระทบต่อพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของเด็ก
“บางครั้งก็เป็นการยากต่อพ่อแม่ที่จะสังเกตได้ว่าลูกน้อยจะมีการพัฒนาการมองเห็นเป็นปกติหรือไม่ เนื่องจากเด็กตัวเล็กยังพูดไม่ได้หรือยังไม่เข้าใจ กว่าจะสังเกตความผิดปกติก็อาจจะสายเกินไป หรือการรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ฉะนั้นการดูแลดวงตาลูกน้อยตั้งแต่เนิ่น ๆ อย่างการให้เด็กได้รับนมแม่ การดูแลให้รับประทานอาหารครบหมู่อย่างเพียงพอ
การปกป้องสายตาลูกจากอันตรายจากแสงสีฟ้าที่เชื่อว่าจะเป็นอันตรายต่อจอประสาทตาลูกได้ ซึ่งแสงสีฟ้านั้นสามารถพบได้ในหลายที่ เช่น แสงแดดจ้า แสงจากคอมพิวเตอร์ หรือแสงจากหลอดไฟ เป็นต้น สำคัญที่สุดคุณพ่อคุณแม่ควรมีเวลาพาลูกไปตรวจเช็กสุขภาพตาตามวัยอันสมควรจะเป็นการดีที่สุด” พญ.รัติยา กล่าว
ด้าน พญ.อดิศร์สุดา เฟื่องฟู กุมารแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เผยว่า
พื้นฐานสำคัญการเรียนรู้ของเด็กจะผ่านการมองเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็กหรือวัยอนุบาล และผลจากการศึกษาวิจัยตรวจวัดระดับสติปัญญาในเด็กที่มีความผิดปกติ ระหว่างเด็กตาบอดกับเด็กหูหนวกโดยควบคุมปัจจัยและเงื่อนไขให้เหมือนกัน พบว่าเด็กตาบอดจะมีพัฒนาการด้านสติปัญญาต่ำกว่าเด็กหูหนวก ซึ่งเป็นบทสรุปได้ว่าการเรียนรู้ของคนเราส่วนใหญ่มากจากการมองเห็นนั่นเอง
ทั้งนี้ พญ.อดิศร์สุดา ยังให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่าเรื่องโภชนาการก็มีส่วนสำคัญ วงการแพทย์ในปัจจุบันมีการพูดถึงสารอาหาร “ลูทีน” ซึ่งเป็นสารอาหารอีกชนิดหนึ่งที่พบมากในน้ำนมแม่ มีประโยชน์ในการปกป้องจอประสาทตา บริเวณที่เรียกว่า Macula of Lutea โดย “ลูทีน” เป็นสารอาหารธรรมชาติที่พบอยู่หนาแน่นบริเวณจอประสาทตา ซึ่งถือเป็นจุดที่สำคัญมากต่อการรับภาพและมองเห็นของคนเรา ลูทีนจะทำหน้าที่กรองแสงสีฟ้าที่เข้ามาทำลายจอประสาทตาทั้งยังทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระป้องกันไม่ให้เซลล์ในจอประสาทตาเสื่อม สารลูทีนร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้จะได้จากการรับประทานเท่านั้น พบมากในน้ำนมแม่และผักใบเขียวเข้ม
ดังนั้น การให้ลูกดื่มนมแม่ และส่งเสริมให้ลูกรับประทานผักใบเขียว ก็จะช่วยให้เจ้าตัวเล็กได้รับสารอาหารที่ช่วยปกป้องดวงตาจากแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายได้
|